ชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์! ศาลสั่งยกเลิก “ทรงผมนักเรียน” 


เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 68 ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ที่ออกตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ซึ่งกำหนดข้อห้ามเกี่ยวกับการไว้ทรงผมและการใช้เครื่องสำอางของนักเรียน โดยระบุว่า กฎดังกล่าวไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน และขัดกับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546


การตัดสินครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่นักเรียนออกมาประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิของตน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของการชุมนุมประท้วงและการเรียกร้องที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชน

ศาลระบุว่า กฎกระทรวงดังกล่าวไม่คำนึงถึง สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนพัฒนาการของอัตลักษณ์และบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัย ซึ่งอาจถือเป็นการละเมิดเสรีภาพในร่างกายและขัดกับหลักการสิทธิเด็ก จึงไม่อาจถือได้ว่าประกาศของคณะปฏิวัติฯ และกฎกระทรวงที่พิพาท เป็นกฎที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ และยังอาจมีการบังคับใช้กฎที่พิพาทนั้นอย่างเคร่งครัดจนมีผลร้ายต่อจิตใจของเด็กที่มีความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศ

หลังจากการคำสั่งเพิกถอนกฎกระทรวงฉบับที่ 2 นี้ โรงเรียนหรือสถานศึกษายังสามารถออกระเบียบเกี่ยวกับการไว้ทรงผมนักเรียนได้ แต่ต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับหลักการเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก และคำนึงถึงการพัฒนาบุคลิกภาพและอัตลักษณ์ที่เหมาะสมตามช่วงอายุ โดยสถานศึกษาจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเน้นการส่งเสริมสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักเรียนทุกคน

ด้านกระทรวงศึกษาธิการย้ำชัดว่ามีหนังสือยกเลิกระเบียบว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2566 ฉะนั้น “ทรงติ่งหู” หรือ “ทรงขาว 3 ด้าน” จะไม่ถูกเรียกว่า “ทรงผมนักเรียน” อีกต่อไป เพราะไม่มีการระบุความสั้น/ยาวของทรงผมนักเรียนชายและนักเรียนหญิงแล้ว ส่วนการจะกำหนดให้ผู้เรียนไว้ทรงผมรวมถึงแต่งกายแบบไหนให้เป็นไปตามวิจารณญาณของสถานศึกษา โดยให้โรงเรียนเปิดช่องทางให้โอกาสผู้เรียนพูดคุยเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกันอย่างสร้างสรรค์

โดย นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยกรณีข้อเรียกร้องการไว้ทรงผมของนักเรียน เน้นย้ำยกเลิกระเบียบ “ทรงผมนักเรียน” โดยให้สถานศึกษาเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของผู้เรียนเป็นสำคัญ พร้อมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญเรื่องสิทธิเสรีภาพของผู้เรียน ส่งเสริมความหลากหลายและเป็นธรรมในทุกด้าน

“ณ วันนี้ การยกเลิกระเบียบต่างๆ ที่เป็นการตีกรอบขีดจำกัดด้านการศึกษา นับเป็นจุดเริ่มต้นของการยอมรับความหลากหลาย ขอยืนยันว่าเราจะร่วมกับทุกภาคส่วนเดินหน้า “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน” สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ มุ่งพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา และเติบโตสู่ก้าวที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงในอนาคต”  

ขอบคุณข้อมูลจาก ศธ.360 องศา และ The Active

อ่านรายงานเรื่อง “ขอทวงคืนอนาคตของพวกเรา: สิทธิเด็กที่จะชุมนุมประท้วงโดยสงบในประเทศไทย”

เรียนรู้เรื่อง “สิทธิมนุษยชนของเด็ก” เพิ่มเติม