ฉันถูกจองจำ แต่เสียงของฉันไม่มีวันถูกกักขัง
นาร์เกส โมฮัมมาดี

ในวันสตรีสากลนี้ เราขอแสดงความเคารพต่อ นาร์เกส โมฮัมมาดี นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนชาวอิหร่าน และผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2566
นาร์เกสได้รับการยกย่องว่าเป็น “ผู้ต่อสู้เพื่อต้านการกดขี่ผู้หญิงในอิหร่าน และเพื่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของทุกคน” แม้ถูกจองจำในเรือนจำของอิหร่าน เสียงของเธอยังคงก้องกังวานไปทั่วโลก เรียกร้องความยุติธรรมและความเท่าเทียมอย่างไม่หยุดยั้ง
จากนักวิทยาศาสตร์สู่นักปกป้องสิทธิมนุษยชน
ก่อนที่จะกลายเป็นนักเคลื่อนไหวที่โลกรู้จัก นาร์เกสเคยเป็นนักฟิสิกส์และนักข่าวที่มีอนาคตไกล แต่เธอเลือกที่จะอุทิศชีวิตเพื่อการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในประเทศอิหร่าน
เธอเป็นสมาชิกคนสำคัญของ “Defenders of Human Rights Center” (DHRC) องค์กรที่ก่อตั้งโดย ชิริน เอบาดี นักกฎหมายผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเช่นกัน การทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชนของเธอทำให้รัฐบาลอิหร่านมองว่าเธอเป็นภัยคุกคาม นำไปสู่การถูกจับกุมหลายครั้ง และถูกตัดสินจำคุกรวม 11 ปี 11 เดือน
การต่อสู้ท่ามกลางความทุกข์ทรมาน
ในเรือนจำ นาร์เกสเผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ทั้งการถูกทรมานทางร่างกายและจิตใจ ถูกขังเดี่ยวในสภาพที่ย่ำแย่ ถูกปฏิเสธการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม ถูกตัดขาดจากครอบครัวและลูกๆ และถูกลงโทษรุนแรงเพียงเพราะการแสดงความคิดเห็น
เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 มีรายงานว่านาร์เกสต้องเข้ารับการผ่าตัดซับซ้อนเพื่อตัดกระดูกส่วนหนึ่งที่ขาขวาออก เนื่องจากความกังวลเรื่องมะเร็ง แต่เธอถูกส่งกลับเรือนจำทันทีหลังการผ่าตัด ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อชีวิตของเธออย่างมาก
แม้เผชิญกับความทุกข์ยากเช่นนี้ เธอยังคงส่งจดหมายลับออกมาจากเรือนจำ เพื่อเปิดโปงการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเรียกร้องความเปลี่ยนแปลง
การต่อสู้กับ “การแบ่งแยกทางเพศ”
หนึ่งในการรณรงค์สำคัญของนาร์เกสคือการเรียกร้องให้ “การแบ่งแยกทางเพศ” (Gender Apartheid) ถูกยอมรับว่าเป็นอาชญากรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ
การแบ่งแยกทางเพศในอิหร่านหมายถึงระบบการกดขี่ที่:
- บังคับผู้หญิงให้ปฏิบัติตามกฎการแต่งกายที่เข้มงวด
- จำกัดสิทธิในการศึกษาและการทำงาน
- ควบคุมการเดินทางและการใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะ
- กีดกันไม่ให้ผู้หญิงเข้าถึงตำแหน่งทางการเมืองและการตัดสินใจ
นาร์เกสเชื่อว่าหากโลกไม่ลุกขึ้นต่อต้านการแบ่งแยกทางเพศ รูปแบบการกดขี่นี้อาจแพร่กระจายไปยังสังคมอื่นๆ ทั่วโลก
รางวัลโนเบล: แสงแห่งความหวังและการยอมรับ
ในเดือนตุลาคม 2566 ขณะที่ยังถูกคุมขัง นาร์เกส โมฮัมมาดีได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เป็นสัญญาณชัดเจนจากประชาคมโลกว่า การต่อสู้ของเธอมีความสำคัญและได้รับการยอมรับในระดับโลก สิทธิสตรีและสิทธิมนุษยชนเป็นค่านิยมสากลที่ต้องปกป้อง เสียงของผู้ถูกกดขี่จะไม่ถูกเพิกเฉย แม้จะถูกปิดกั้นจากอำนาจรัฐ
นาร์เกสไม่สามารถรับรางวัลได้ด้วยตนเอง แต่ลูกๆ ของเธอได้เดินทางไปรับรางวัลแทน พร้อมอ่านสาส์นจากแม่ของพวกเขา สะท้อนถึงความแน่วแน่ในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ
ขบวนการ “ผู้หญิง ชีวิต เสรีภาพ”
การต่อสู้ของนาร์เกสเชื่อมโยงโดยตรงกับขบวนการ “ผู้หญิง ชีวิต เสรีภาพ” (Women, Life, Freedom) ที่เติบโตขึ้นในอิหร่านหลังการเสียชีวิตของ มาห์ซา อามินี หญิงสาววัย 22 ปี ที่เสียชีวิตขณะอยู่ในความควบคุมของตำรวจศีลธรรมในปี 2565
ขบวนการนี้แสดงให้เห็นถึงพลังของผู้หญิงในการเรียกร้องความเปลี่ยนแปลง ความกล้าหาญที่จะลุกขึ้นต่อต้านระบบที่กดขี่ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่ข้ามพรมแดนและวัฒนธรรม
การสนับสนุนจากทั่วโลก
นาร์เกสได้รับการสนับสนุนจากองค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลก โดยเฉพาะแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลที่รณรงค์อย่างต่อเนื่องเพื่อ:
- เรียกร้องให้ปล่อยตัวเธอและนักโทษทางการเมืองคนอื่นๆ
- เรียกร้องให้เธอได้รับการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม
- สร้างความตระหนักรู้ต่อสาธารณะเกี่ยวกับสถานการณ์ในอิหร่าน
นาร์เกสเคยส่งข้อความขอบคุณออกมาจากเรือนจำว่า
“ทุกการเคลื่อนไหวของพวกคุณคือกำลังใจให้ฉันและเพื่อนนักโทษทางการเมืองในอิหร่าน… เสียงของพวกคุณทำให้เรามีความหวัง และช่วยให้โลกรับรู้ถึงความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น”
สิ่งที่เราทุกคนทำได้
ในวันสตรีสากลนี้ เราทุกคนสามารถร่วมสนับสนุนการต่อสู้ของนาร์เกสและผู้หญิงทั่วโลกที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเองได้หลากหลายวิธี:
- ลงชื่อในจดหมายเรียกร้องและแคมเปญออนไลน์
- แชร์เรื่องราวของนาร์เกสและนักเคลื่อนไหวคนอื่นๆ ในโซเชียลมีเดีย
- สนับสนุนองค์กรที่ทำงานเพื่อสิทธิสตรีและสิทธิมนุษยชน
- ศึกษาและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการแบ่งแยกทางเพศทั่วโลก
- พูดคุยและให้ความรู้คนรอบข้างเกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้หญิงในประเทศที่มีการละเมิดสิทธิ
พลังแห่งความเปลี่ยนแปลง
วันสตรีสากลเป็นมากกว่าวันเฉลิมฉลอง แต่เป็นวันแห่งการรณรงค์ การกระทำ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เรื่องราวของนาร์เกส โมฮัมมาดี เตือนใจเราว่า ความกล้าหาญของคนเพียงคนเดียวสามารถจุดประกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ เธอพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้ถูกจองจำ แม้ถูกปิดกั้น เสียงของเธอยังคงก้องกังวานไปทั่วโลก สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและพลังของผู้หญิงที่ไม่ยอมจำนนต่อความอยุติธรรม
ในวันสตรีสากลนี้ เราทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้การสนับสนุน การกระจายข้อมูล หรือการลงมือทำเพื่อสร้างโลกที่เท่าเทียมมากขึ้น
ขอให้เสียงของเธอและของผู้หญิงทั่วโลกไม่เคยเงียบ ขอให้เราร่วมกันต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี เสรีภาพ และความยุติธรรม เพราะการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นเพียงลำพัง แต่มันเกิดขึ้นเมื่อเราทุกคนร่วมมือกัน
💪 แอมเนสตี้ ดำเนินงานได้ด้วยเงินทุนบริจาคจากปัจเจกบุคคลเช่นคุณในการทำงานรณรงค์เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน
❤️ ทุกการสนับสนุนของคุณมีพลังในการเปลี่ยนแปลง ร่วมกันสร้างโลกที่ทุกคนปลอดภัยและเคารพในสิทธิเสรีภาพ