“สิทธิมนุษยชนศึกษา” หลักสูตรนอกตำราที่โรงเรียนอาจไม่ได้สอนคุณ

Amnesty International

“เราอยากมาทำงานที่จะสามารถผลักดันให้สังคมเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นและมีการเคาระสิทธิมนุษยชนที่ดีขึ้น” 

กระบวนการเรียนรู้ที่เสริมสร้างความเข้าใจสิทธิของผู้เรียน

“สิทธิมนุษยชน” ไม่ใช่เพียงหลักการที่เขียนอยู่ในหนังสือหรือกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น แต่สิทธิมนุษยชนคือแก่นสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างมีศักดิ์ศรีและเท่าเทียมในสังคม ทว่าหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยเฉพาะในประเทศไทย เรื่องของสิทธิมนุษยชนกลับยังไม่ได้รับความสนใจ หรือถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอน ผู้เรียนจึงมักไม่ได้รับการปลูกฝังความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับสิทธิพื้นฐานที่ตนเองและผู้อื่นพึงมี ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการมีชีวิต สิทธิในเสรีภาพการแสดงออก สิทธิในการได้มีสุขภาพที่ดี หรือแม้แต่สิทธิในในเนื้อตัวร่างกาย 

กรกฤช สมจิตรานุกิจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสิทธิมนุษยชนศึกษา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย อธิบายถึงเป้าหมายของสำคัญของสิทธิมนุษยชนศึกษาที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคมได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนเพิ่มมากขึ้น ผ่านการใช้กระบวนการต่างๆ ของ “สิทธิมนุษยชนศึกษา” ที่เน้นให้ผู้เรียนได้เข้าใจในหลักการโดยเน้นการปฏิบัติที่มากว่าตัวอักษรในตำราเรียน

“สมัยที่เราเรียน สิทธิมนุษยชนจะถูกจัดอยู่ในหมวดของหน้าที่พลเมืองที่จะมาพร้อมกับคำพูดว่า รู้สิทธิก็ต้องรู้หน้าที่ด้วย ซึ่งนั่นไม่ใช่หลักการของสิทธิมนุษยชน เป็นเพียงแค่การทำให้คนต้องเคารพสิทธิมนุษยชนเพราะเป็นหน้าที่”

กรกฤช เล่าเสริมว่าสิทธิมนุษยชนศึกษาที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลในหลายประเทศทั่วโลกพยายามผลักดันนั้นเป็นเพียงแค่สื่อกลางที่จะนำพาให้ผู้เรียนได้เข้าใจถึงกระบวนการ และหลักการที่ทุกคนในสังคมสามารถตระหนักรู้ถึงคุณค่าของการเคารพกันในความแตกต่าง และมองให้เรื่องนี้กลายเป็นสิ่งพื้นฐานของการใช้ชีวิตประจำวัน ที่ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่กรอบระเบียบหรือขนบธรรมเนียมการปฏิบัติที่ทุกคนต้องทำตามเพราะเป็นหน้าที่

“สิทธิมนุษยชนคือวิธีการที่เราปฏิบัติต่อกัน คือสิ่งที่ให้เราตระหนักว่าทำไมถึงไม่ควรบูลลี่กัน ทำไมเราถึงไม่ควรล้อเลียนรูปร่างหน้าตาผู้อื่น หรือแม้แต่ทำไมเราถึงไม่ควรแอบเอารูปหลุดของเพื่อนไปโพสต์บนโซเชียลมีเดีย”

ทั้งนี้ หากผู้เรียนมีความเข้าใจในหลักการของสิทธิมนุษยชน นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการสอนที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลพยายามผลักดันได้บรรลุผลสำเร็จแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้เรียนเหล่านี้เติบโตและต้องเผชิญกับสังคมที่ยังคงมีการกดขี่หรือมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้อาจไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ในรั้วโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่อาจต้องขยายพื้นที่ให้สิทธิมนุษยชนศึกษาสามารถเข้าไปอยู่ในระดับสังคมได้

เผยแพร่แนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนผ่านการเรียนรู้

เพื่อทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจหลักการของสิทธิมนุษยชนศึกษา แอมเนสตี้จึงพยายามมองหาช่องทางใหม่ๆ ที่จะใช้เป็นกิจกรรมในห้องเรียนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเน้นกิจกรรมให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม การจัดค่ายให้ความรู้ การจัดเวิร์กชอปติดเครื่องมือป้องกันการละเมิดสิทธิ หรือแม้แต่ใช้สื่อเป็นตัวกลางในการสื่อสารเนื้อหาต่างๆ ให้มีความน่าสนใจ เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้และเสริมสร้างให้ผู้เรียนสามารถสนุกไปสิทธิมนุษยชนได้ โดยกรกฤชยกตัวอย่าง “บอร์ดเกมสิทธิมนุษยชน” และคลิปวิดีโอบนแพลตฟอร์มยอดนิยมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่าง TikTok ขึ้นมาเล่า เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยปัจจุบันนั้นเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาท และกลายเป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อเยาวชนเป็นอย่างมาก

“เราพยายามทำให้สิทธิมนุษยชนศึกษามีความแตกต่างจากการเรียนทั่วไป แต่ในขณะเดียวกันเราก็พยายามทำให้ผู้เรียนเห็นได้ว่าการเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย”

อย่างไรก็ตาม สิทธิมนุษยชนศึกษาก็ยังมีข้อจำกัดในด้านของทรัพยากรต่างๆ ทั้งบุคลากรที่มีจำนวนจำกัด หรือแม้แต่จำนวนของพื้นที่ที่มีความต้องการเรียนที่เพิ่มมากขึ้น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยจึงมีความพยายามสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ ผ่านการอบรมให้กับ นักการศึกษา หรือ กระบวนกร เพื่อเสริมสร้างให้กลุ่มคนเหล่านี้สามารถส่งต่อเนื้อหาความรู้และหลักการด้านสิทธิมนุษยชนให้กับผู้เรียนในพื้นที่ต่างๆ ได้

การเรียนที่แตกต่าง…เสริมสร้างสิทธิมนุษยชนให้สังคม

“คุณแค่ต้องสร้างโจทย์หรือหัวข้อการถกเถียงบางอย่างขึ้นมา และให้ผู้เรียนได้เป็นคนนำพาบทสนทนานั้นไป”

กรกฤชอธิบายถึงแนวทางการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนสิทธิมนุษยชนศึกษา โดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการเรียนรู้ที่แตกต่างจากแบบแผนเดิมๆ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ครอบคลุมที่ไม่เพียงเฉพาะตัวผู้เรียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงครู อาจารย์ สถานศึกษา เพราะการผลักดันให้หลักสูตรสิทธิมนุษยชนถูกบรรจุเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน และทำให้สถานศึกษาสามารถออกแบบการเรียนการสอนที่เคารพผู้เรียนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริงนั้นคือเป้าหมายหลักที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลในหลายประเทศตั้งไว้

ทั้งนี้ ในการจัดกิจกรรมแต่ละครั้ง กรกฤชเล่าเสริมว่าเขาให้ความสำคัญกับความเหมาะสมของบริบทในพื้นที่อยู่เสมอ เพื่อเคารพในความแตกต่างและหลีกเลี่ยงการละเมิดสิทธิของผู้อื่น การปรับระดับและเนื้อหาด้านสิทธิมนุษยชนให้เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะในบางพื้นที่การสอนเรื่องความเท่าเทียมทางเพศอาจเป็นความท้าทาย การค้นหามุมมองใหม่ๆ หรือเลือกนำเสนอกรณีศึกษาของการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มีความสอดคล้องกับบริบทท้องถิ่นอาจเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด

เพราะเมื่อเรามุ่งหวังให้ห้องเรียนกลายเป็นพื้นที่แห่งความเคารพ สิ่งแรกที่สิทธิมนุษยชนศึกษาต้องคำนึงถึง คือการทำให้ผู้เรียนเข้าใจหลักการสิทธิมนุษยชนโดยไม่รู้สึกว่าตนเองถูกละเมิดสิทธิ ทั้งในเชิงปฏิบัติและความเชื่อ ความสมดุลระหว่างการสอนและการเคารพในความหลากหลายจึงเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการเรียนการสอนนี้

“เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องไม่ปะทะกับผู้เรียน และดูความเหมาะสมหลายๆ อย่าง ทั้งช่วงวัยหรือหลักสูตรที่พวกเขาเรียน”

สิทธิมนุษยชนศึกษาคือการวางรากฐานของสิทธิมนุษยชน

“หลายๆ โรงเรียนเปิดโอกาสให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการเลือกตั้งประธานนักเรียนเพื่อขึ้นมาเป็นตัวแทรของการพํฒนา แต่การมีส่วนร่วมนั้นเกิดขึ้นเป็นเพียงแค่การทำให้พอเป็นพิธีไหม เป็นการเลือกตั้งที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงโดยมาจากการฟังเสียงของนักเรียนไหม”

กรกฤชยกตัวอย่างการเลือกตั้งประธานนักเรียนเพื่อชวนตั้งคำถามและอธิบายแนวคิดเรื่องการเคารพสิทธิมนุษยชนให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น โดยตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อประธานนักเรียนได้รับการคัดเลือกแล้ว หลายนโยบายที่เคยหาเสียงไว้กลับไม่ถูกสานต่อจนบรรลุเป้าหมาย เสียงสะท้อนของนักเรียนหลายคนกลับไม่ได้รับการรับฟัง หรือปัญหาต่างๆ ภายในโรงเรียนนั้นไม่ได้ถูกแก้ไขอย่างที่ควรจะเป็น เพราะด้วยโครงสร้างอำนาจในโรงเรียนที่ถูกยึดโยงกับครู จึงทำให้ประธานนักเรียนไม่สามารถตัดสินใจหรือเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาได้อย่างเต็มที่ แม้ว่าจะได้รับคัดเลือกให้มาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของนักเรียนทุกคนแล้วก็ตาม

และจากตัวอย่างที่ถูกยกขึ้นมานั้น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลในหลายประเทศจึงมุ่งผลักดันให้หลายๆ โรงเรียนมีโครงการ “Human Rights Friendly School” ที่มีเป้าหมายในการสร้างโรงเรียนที่เป็นมิตรกับสิทธิมนุษยชน โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการออกแบบเนื้อหาการเรียนการสอน และส่งเสริมการสร้างสภาพแวดล้อมที่เคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งรากฐานสำคัญของโครงการนี้คือการสร้างความเข้าใจและการปฏิบัติที่สะท้อนถึงหลักการสิทธิมนุษยชน เพื่อให้โรงเรียนกลายเป็นพื้นที่ที่เอื้อต่อการพัฒนาผู้เรียนอย่างเต็มศักยภาพ และช่วยปลูกฝังวัฒนธรรมการเคารพสิทธิในฐานะมนุษย์ตามจุดประสงค์ที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้รณรงค์มาอย่างต่อเนื่อง

“สิทธิมนุษยชนไม่ใช่แค่ว่าคุณเรียนในห้องเรียนแล้วจบ ถ้าคุณอยากให้สังคมมีความเปลี่ยนแปลงจริงๆ คุณต้องทำให้สภาพแวดล้อมรอบตัวเคารพสิทธิมนุษยชนของคุณด้วย”

กรกฤชกล่าวเสริมว่า เมื่อจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้และการปลูกฝังหลักการสิทธิมนุษยชนมีความแข็งแกร่ง การขยายต่อยอดความรู้และแนวปฏิบัติไปสู่สังคมจะกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้น หากสถานศึกษาที่ถือได้ว่าเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ สิทธิมนุษยชนก็จะสามารถมีโอกาสเติบโตและหยั่งรากลึกในสังคม อันนำไปสู่การสร้างสภาพแวดล้อมที่ผู้คนทุกคนเคารพกันอย่างเท่าเทียม และมองเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ “Human Rights Friendly School” เป็นเพียงแค่ต้นแบบที่สามารถพัฒนาต่อยอดให้เรื่องสิทธิมนุษยชนก้าวข้ามข้อจำกัดด้านการเรียนการสอนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย และขยายออกไปสู่สังคมในวงกว้างเท่านั้น

“มันต้องไม่จบแค่ Human Rights Friendly School แต่มันต้องไปต่อที่ Human Rights Friendly Office หรือ Community เลย”

ผลักดันสิทธิมนุษยชนผ่านการเชื่อมโยงการทำงานกับเครือข่าย

พันธมิตรที่สำคัญของสิทธิมนุษยชนศึกาาคือโรงเรียนและมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดในหลายด้าน การเข้าไปมีส่วนร่วมกับโรงเรียนมัธยมจึงกลายเป็นความท้าทายของแอมเนสตี้ ดังนั้นเครือข่ายหลักที่มีจึงมักจะเป็นเด็กๆ จากโรงเรียนนานาชาติ เนื่องจากเป็นกลุ่มนักเรียนที่มีความสนใจในประเด็นการละเมิดสิทธิ แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยการเป็นโรงเรียนนานาชาติ เรื่องราวการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายในประเทศไทยอาจไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ดังนั้น เป้าหมายสำคัญอีกประการหนึ่งของสิทธิมนุษยชนศึกษาจึงเป็นการขยายความร่วมมือและการมีส่วนร่วมกับโรงเรียนไทยให้มากยิ่งขึ้น

“เราไม่ได้เข้าไปยุยงปลุกปั่น เราเพียงแค่อยากเข้าไปเป็นส่วนเติมเต็มกระบวนการเรียนรู้ด้านสิทธิมนุษยชนให้กับแต่ละสถานศึกษา”

ในระดับมหาวิทยาลัย การทำงานด้านนี้อาจเผชิญความยากลำบากที่น้อยกว่า เนื่องจากในหลายพื้นที่ อาจารย์มีความสนใจในประเด็นสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว หลายครั้ง แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรบรรยายในห้องเรียน หรือในบางภูมิภาคยังมีการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนผ่านการทำข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระดับมหาวิทยาลัย เพื่อให้การส่งเสริมให้ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนสามารถดำเนินต่อไปได้ แม้ในวันที่ไม่มีอาจารย์ผู้ที่เป็นคนริเริ่มเชิญแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยมาบรรยายอีกต่อไปแล้วก็ตาม

ความสวยงามของสิทธิมนุษยชนที่ชวนให้ผู้คนลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง

“สิ่งสำคัญกว่าตัวเลขของจำนวนผู้เข้าเรียนสิทธิมนุษยชนศึกษาคือการร่วมในกิจกรรมรณรงค์ หรือ Take Action ในแต่ละแคมเปญของแอมเนสตี้ เช่น การเขียนจดหมายเพื่อเรียกร้องให้มีการยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน”

ทุกครั้งที่กรกฤชและทีมออกเดินทางไปสอนในสถานที่ต่างๆ หนึ่งสิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมไปด้วยเสมอคือ กิจกรรมการร่วม Take Action ในแคมเปญต่างๆ ที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกำลังรณรงค์ เช่น การเขียนจดหมายถึงเพื่อนในเรือนจำ หรือแคมเปญ “Write For Rights” หรือ “เขียน เปลี่ยน โลก” ที่จะชวนให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในลงชื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากหลากหลายประเทศทั่วทุกมุมโลกที่ถูกคุมขังจากการใช้สิทธิเสรีภาพของตนเอง เพื่อยืนหยัดเคียงข้างและส่งกำลังใจในช่วงเวลาที่พวกเขาต้องเผชิญความยากลำบาก เพราะสิ่งเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาด้านสิทธิมนุษยชน ที่มุ่งหวังให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักถึงการละเมิดสิทธิและตระหนักถึงบทบาทของตนเองในการสร้างความเปลี่ยนแปลงผ่านการเรียกร้องสิทธิและความยุติธรรมในรูปแบบต่างๆ

ในส่วนของความสำเร็จที่ผ่านมา ก็นับได้ว่าแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เริ่มก้าวเข้าใกล้เป้าหมายขึ้นเต็มที เพราะทุกครั้งหลังจากการสอนในห้องเรียนหรือการจัดค่ายตามต่างจังหวัด ผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่วนใหญ่ก็จะสามารถนำความรู้และชุดประสบการณ์ที่ได้รับไปขยายผลในพื้นที่ของตนเอง สร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองและผู้อื่นลุกขึ้นมายืนหยัดเคียงข้างสิทธิมนุษยชน พร้อมนำ Action จากแคมเปญต่างๆ กลับไปรณรงค์ผ่านช่องทางของพวกเขาเอง ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความงดงามของสิทธิมนุษยชนที่เริ่มต้นจากการเรียนรู้ สู่การลงมือทำและขยายผลอย่างเป็นรูปธรรมในสังคม

“เมื่อผู้เรียนเขานำเรื่องราวกลับไปเล่าให้กับเพื่อนๆ ฟัง มันก็สามารถสร้างให้เป็นแรงกระเพื่อมกับคนในพื้นที่ได้เห็นถึงปัญหาของการละเมิดสิทธิ และพร้อมที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ได้”

———–

เรียนรู้เรื่องราวเพิ่มเติมของสิทธิมนุษยชนศึกษาได้ที่ : https://hre.amnesty.or.th/en/home/ 

———–

ฟังรื่องราวของสิทธิมนุษยชนศึกษาเพิ่มเติมผ่าน Talk อะ Rights Podcast ได้ที่

Apple Podcast : https://bit.ly/3BUizS7

Spotify : https://bit.ly/4gwFFxd

YouTube : https://bit.ly/4gImGQk

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแอมเนสตี้
บริจาคสนับสนุนแอมเนสตี้