เมียนมา: การระงับความช่วยเหลืออย่างกะทันหันและไร้ความรับผิดชอบของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อสิทธิมนุษยชน

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวในวันนี้ว่า การระงับความช่วยเหลือต่างประเทศในวงกว้างอย่างกะทันหันของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังสร้างอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสิทธิมนุษยชนของผู้ลี้ภัย พลเรือนในพื้นที่ความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ และบุคคลที่หลบหนีจากการประหัตประหารในเมียนมา 

แอมเนสตี้เตือนว่า อาจเกิดการสูญเสียชีวิตขึ้นได้ หากรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่กลับคำตัดสินใจดังกล่าวทันที หรือแก้ไข หรืออนุมัติข้อยกเว้นสำหรับความช่วยเหลือที่จำเป็นเร่งด่วนต่อการดำรงชีวิต และดำเนินการอย่างรวดเร็วสำหรับผู้ที่ทำงานในพื้นที่ 

“การตัดสินใจอันโหดร้ายของรัฐบาลทรัมป์ในการออกคำสั่งให้หยุดโครงการช่วยเหลือต่างประเทศในทันทีนั้น กำลังส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงและฉับพลันต่อทั่วโลก และในเมียนมา ผลกระทบนี้กำลังทำร้ายประชาชนในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด”

โจ ฟรีแมน นักวิจัยด้านเมียนมาของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าว 

การตัดสินใจครั้งนี้ส่งผลให้โรงพยาบาลในค่ายผู้ลี้ภัยต้องปิดตัวลงอย่างกะทันหัน ทำให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่กำลังลี้ภัยเสี่ยงต่อการถูกเนรเทศ อีกทั้งยังเป็นอันตรายต่อโครงการซึ่งช่วยเหลือและป้องกันประชาชนจากการถูกทารุณกรรม การเอาชีวิตรอดในพื้นที่ความขัดแย้ง และสร้างชีวิตใหม่ท่ามกลางกระแสความรุนแรงที่ยังคงดำเนินอยู่ 

เมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อระงับความช่วยเหลือในต่างประเทศทั้งหมดไว้ชั่วคราวในช่วง 90 วันระหว่างที่มีการทบทวนว่าโครงการเหล่านี้สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ หรือไม่ ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มกราคม มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกคำสั่งให้ยุติการดำเนินงานของผู้ให้ความช่วยเหลือทั่วโลกภายใต้การทบทวนนี้ แต่ได้กำหนดข้อยกเว้นสำหรับความช่วยเหลือด้านอาหารฉุกเฉิน รวมถึงความช่วยเหลือทางทหารแก่อิสราเอลและอียิปต์ 

จากคำสั่งระงับดังกล่าว ได้มีข้อยกเว้นเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 28 มกราคม ซึ่งได้ยกเว้น ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต  ขณะที่ในสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ มีการชี้แจงเพิ่มเติมเพื่อขยายขอบเขตข้อยกเว้นสำหรับกิจกรรมเฉพาะบางอย่าง อย่างไรก็ตาม จากการวิจัยล่าสุดของแอมเนสตี้ พบว่าการดำเนินการตามข้อยกเว้นเหล่านี้ยังไม่ส่งผลถึงองค์กรหลายแห่งที่ทำงานตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา  

การตัดสินใจที่น่าตกตะลึงของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลกระทบระดับโลกในทันที โดยได้สร้างแรงกระเพื่อมที่เห็นได้ชัดต่อชีวิตของผู้คนรวมถึงการปรากฏตัวของผลลัพท์ทรู้สึกได้ในชีวิตที่จะต้องทำความเข้าใจต่อไป การค้นพบของเราจากสถานการณ์ในเมียนมาและไทยเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของความเสียหายที่เกิดจากการตัดสินใจอันไร้หัวใจนี้

โจ ฟรีแมน กล่าว

ในเมียนมา การระงับเงินทุนยิ่งทำให้พลเรือนที่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งกันด้วยอาวุธที่ทวีความรุนแรง การพลัดถิ่นครั้งใหญ่ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงจากกองทัพที่ยึดอำนาจในการรัฐประหารเมื่อกว่าสี่ปีก่อน ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากมากขึ้น นอกจากนี้ ยังสร้างความโกลาหล ความสิ้นหวัง และความเจ็บปวดให้กับผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาหลายหมื่นคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย 

จนถึงปัจจุบัน เงินทุนจากสหรัฐฯ ได้ช่วยให้ผู้คนสามารถทนต่อความวุ่นวายได้ โดยการสนับสนุนที่พักพิงฉุกเฉินหรือการลี้ภัยสำหรับนักกิจกรรมหรือนักเคลื่อนไหว การให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร การสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับการโจมตีทางอากาศ การให้การรักษาพยาบาลในพื้นที่สงคราม และการให้โอกาสทางการศึกษาแก่ผู้ที่หมดหวังกับอนาคตของตนเอง 

ระหว่างวันที่ 3-10 กุมภาพันธ์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้สัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาจำนวน 12 คนที่อาศัยอยู่ในค่ายตามแนวชายแดนในประเทศไทย ตัวแทนจาก 14 องค์กรที่มีการดำเนินกิจกรรมที่มุ่งเน้นในประเด็นเมียนมา ทั้งนี้ได้รวมทั้งผู้ที่ทำงานด้านสุขภาพ นักวิจัยด้านสิทธิมนุษยชน และองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ให้ความช่วยเหลือข้ามพรมแดน และยังรวมถึงสื่อและผู้ให้บริการด้านการศึกษา ทุกคนได้เตือนถึงผลกระทบที่ร้ายแรงหากการตัดสินใจนี้ยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ได้แก้ไข ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ได้รับการสื่อสารหรือการยืนยันจากรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับข้อยกเว้นเพื่อดำเนินการทำงานต่อ 

 

ภารกิจคือต้องไม่ตาย 

แม้จะมีการสัญญาเกี่ยวกับข้อยกเว้นสำหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่การระงับความช่วยเหลือกำลังก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อสิทธิในการเข้าถึงสุขภาพของผู้คนมากกว่า 100,000 คนที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย 9 แห่งในประเทศไทยตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่นั่นมาหลายปีจากการหลบหนีการใช้ความรุนแรงในเมียนมาก่อนหน้านี้ แต่ค่ายผู้ลี้ภัยเหล่านี้ได้ขยายตัวขึ้นนับตั้งแต่มีการรัฐประหาร 

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้สัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในค่ายสองแห่งที่แยกจากกันตามแนวชายแดน ทุกคนกล่าวว่า โรงพยาบาลในค่ายซึ่งดำเนินการโดยคณะกรรมการช่วยเหลือระหว่างประเทศ (IRC) ผ่านการสนับสนุนจากเงินทุนขององค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ (United States Agency for International Development) หรือ USAID ได้ปิดตัวลงอย่างกะทันหันหลังจากมีคำสั่งหยุดการดำเนินงาน แม้ว่าเจ้าหน้าที่และโรงพยาบาลของไทยจะสามารถเข้ามาช่วยเหลือและให้บริการแก่ผู้อยู่อาศัยในค่ายได้ แต่ทรัพยากรของพวกเขาก็ยังจำกัด จนถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ IRC ก็ยังไม่ได้รับข้อยกเว้นเพื่อให้สามารถดำเนินงานต่อได้ 

ผลกระทบจากการปิดบริการครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นทันที ตัวอย่างเช่น ในค่ายอุ้มเปี้ยม ผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในค่ายกล่าวว่ามีอย่างน้อยสี่คนเสียชีวิตเนื่องจากไม่ได้รับออกซิเจนที่โรงพยาบาลจัดหาให้ แอมเนสตี้ไม่สามารถยืนยันข้อมูลดังกล่าวได้อย่างอิสระ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ว่า เป คะ ลอว์  อายุ 71 ปี เสียชีวิตสี่วันหลังจากที่สถานพยาบาลที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ ผ่านทาง IRC ได้ส่งตัวเธอกลับบ้าน 

มันน่ากลัวมาก พวกเขาบังคับทุกคนให้ออกจากโรงพยาบาลและบางคนเสียชีวิตเพราะขาดออกซิเจน เราไม่เพียงแค่รู้สึกเศร้า แต่ยังกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป

นายอู ทัน ทัน  วัย 62 ปี กล่าว 

มา ซู ซู (Ma Su Su) อาสาสมัครด้านการแพทย์ในค่ายอุ้มเปี้ยม กล่าวด้วยว่า ในวันที่มีการประกาศคำสั่งดังกล่าว ผู้ที่ต้องการการรักษาถูกบอกให้ออกจากโรงพยาบาล เธอกล่าวว่า เธอได้เห็นเจ้าหน้าที่ถอด​     ​สายน้ำเกลือ (IV-drip) ออกจากผู้ป่วย และบรรยายถึงเหตุการณ์ที่คนที่ยังไม่ถูกฝึกอบรมต้องทำการเย็บแผลให้ผู้ลี้ภัยที่ได้รับบาดเจ็บ 

ฉันบอกทุกคนว่าแค่ 90 วันเท่านั้น เราจะ     ต้องกลับมาได้ แต่หลังจาก 90 วันผ่านไป ่ตอนนี้ฉันรู้สึกหมดหวัง 

เธอกล่าว

ภารกิจคือต้องไม่ตาย 

ตามที่ผู้ลี้ภัยที่อยู่ในค่ายกล่าวว่า การให้บริการน้ำในค่ายหยุดชะงัก ขณะที่ความช่วยเหลือด้านอาหารก็เสี่ยงที่จะหายไปเช่นกัน  

แม็กซิมิเลียน มอร์ช (Maximillian Morch) จากสมาคมชายแดนไทย (Thai Border Consortium – TBC) ซึ่งให้ความช่วยเหลือด้านอาหารและเชื้อเพลิงในการปรุงอาหารแก่ค่ายผู้ลี้ภัยทั้ง 9 แห่งตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา กล่าวว่า พวกเขากำลังพยายามขออนุมัติข้อยกเว้นเพื่อความช่วยเหลือที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของผู้ลี้ภัยจากรัฐบาลสหรัฐฯ แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันใดๆ ถึงข้อยกเว้นที่ได้ขออนุมัติไป 

กว่าร้อยละ 60 ของเงินทุนของสมาคมฯ มาจากสหรัฐฯ ผ่านสำนักงานประชากร ผู้ลี้ภัย และการอพยพ (Bureau of Population, Refugees and Migration – PRM) ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่จะเป็นความช่วยเหลือด้านอาหารและการปรุงอาหาร ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับคำสั่งให้หยุดการดำเนินงาน แต่เงินทุนสำหรับความช่วยเหลือด้านอาหารและการปรุงอาหารของพวกเขาจะหมดลงภายในระยะเวลา 4 ถึง 6 สัปดาห์หากการสนับสนุนทางการเงินหยุดชะงักไปซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทบทวนความช่วยเหลือต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ  

อาหารเป็นสิ่งที่ไม่มีอันตรายอะไรเลย และหากคุณหยุดการสนับสนุนด้านอาหาร นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของ TBC แต่เป็นปัญหาด้านมนุษยธรรมระดับนานาชาติ”

มอร์ช กล่าว

 

เป็นวันที่ยากลำบากมากสำหรับพวกเรา 

ตั้งแต่กองทัพเมียนมายึดอำนาจในการรัฐประหารเมื่อปี 2564 ความขัดแย้งกันด้วยอาวุธได้ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วประเทศ การโจมตีทางอากาศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของกองทัพได้คร่าชีวิตพลเรือน รวมทั้งการโจมตีโรงเรียน โรงพยาบาล และวัด ขณะที่ในพื้นที่อื่นๆ กองทัพได้โจมตีผู้ชุมนุมประท้วง นักเคลื่อนไหว และนักข่าว องค์กรภาคประชาสังคมที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID ทั่วเมียนมาได้เข้าช่วยเหลือพลเรือน นักข่าว และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในการหาที่พักพิง ให้ความช่วยเหลือและรักษาความปลอดภัยในฐานะผู้ลี้ภัยหากพวกเขาต้องการลี้ภัยออกนอกประเทศ 

กลุ่มต่างๆ ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเมียนมา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการโจมตีทางอากาศของกองทัพ ได้ดำเนินโครงการหลายโครงการที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นโครงการที่ช่วยชีวิตผู้คนได้ พวกเขาจัดตั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในพื้นที่แนวหน้า ช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับการส่งตัวไปยังโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาขั้นสูง และช่วยเหลือพลเรือนหลังจากการโจมตีทางอากาศเพื่อหาอาหารและที่พัก 

“ในขณะที่การโจมตีทางอากาศทั้งหมด การทิ้งระเบิด…การโจมตีด้วยปืนใหญ่ การพลัดถิ่นยังคงเกิดขึ้น…การสนับสนุนทางการเงินกลับถูกยุติลง” ซอ ไดมอนด์ คิน ผู้อำนวยการกรมสาธารณสุขและสวัสดิการของกะเหรี่ยง ซึ่งให้ความช่วยเหลือในเจ็ดอำเภอของภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเมียนมา กล่าว “มันเป็นวันที่ยากลำบากมากสำหรับพวกเรา” 

 

ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับงานช่วยชีวิต 

ซอ ธาร์ วิน จากกลุ่มเสริมสร้างระบบสุขภาพชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ (Ethnic Health Systems Strengthening Group) กล่าวว่า องค์กรของเขาวางแผนที่จะส่งเครื่องอัลตราซาวด์และเครื่องเอกซเรย์พกพาที่ใช้แบตเตอรี่ไปยังชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในเมียนมา หนึ่งชุดสามารถให้บริการแก่ประชากรประมาณ 50,000 คน แต่คำสั่งหยุดการทำงานทำให้เครื่องมือเหล่านั้นต้องนอนนิ่งอยู่ในกล่องที่สำนักงานของเขา เนื่องจากเงินทุนสำหรับการขนส่งได้รับผลกระทบ 

ผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่มีศูนย์บริการอยูาในชุมชนอีกคนหนึ่งกล่าวว่า การระงับเงินทุนจากสหรัฐฯ หมายความว่าพวกเขาไม่สามารถสนับสนุนการรักษาที่จำเป็นต่อชีวิตในเมียนมาได้อีกต่อไป เงินทุนของพวกเขาเคยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดฉุกเฉินเพื่อรักษาบาดแผลจากการโจมตีทางอากาศหรือการบาดเจ็บจากความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ รวมถึงการรักษาฉุกเฉินสำหรับทารกแรกเกิด การผ่าตัดไส้ติ่ง รวมถึงการถ่ายเลือดด้วย 

แม้จะมีการประกาศข้อยกเว้นในช่วงปลายเดือนมกราคม แต่ยาที่ใช้ในการรักษา HIV วัณโรค และมาลาเรีย รวมถึงการสนับสนุนการบริการด้านสุขภาพจิตสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ไม่มีองค์กรใดที่แอมเนสตี้ได้พูดคุยด้วยกล่าวว่าได้รับการสื่อสารหรือการยืนยันข้อยกเว้นสำหรับการทำงานช่วยชีวิต แม้ว่าการดำเนินงานของพวกเขา เช่น การช่วยเหลือในการจัดหาอาหาร ที่พัก และการรักษาผู้คนในพื้นที่สงคราม จะชัดเจนว่ามีสิทธิ์ได้รับข้อยกเว้นให้สามารถดำเนินการทำงานได้ต่อไปก็ตาม 

ทุกองค์กรกล่าวว่าพวกเขาขาดการสื่อสารที่ชัดเจนจากหน่วยงานของสหรัฐฯ เช่น USAID และ​​องค์กรพันธมิตรเครือข่ายของพวกเขาที่ทำงานในพื้นที่ สมาคมโอเวอร์ซีส์อิรวดี (The Overseas Irrawaddy Association) ซึ่งให้ความช่วยเหลือในการย้ายถิ่นฐานฉุกเฉินสำหรับนักกิจกรรมหรือนักเคลื่อนไหวหลายร้อยคนในเมียนมา ซึ่งผู้ชุมนุมประท้วงมักถูกกักขังและทรมานโดยกองทัพ กล่าวว่า การระงับเงินทุนส่งผลกระทบต่อความสามารถของพวกเขาในการสนับสนุนบุคคลที่เสี่ยงภัยจำนวนหลายร้อยคน 

การที่สหรัฐฯ ทำให้ความสามารถขององค์กรเหล่านี้ลดลงในการปกป้องผู้ที่เปราะบางที่สุดในเมียนมา จะทำให้กองทัพเมียนมาที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนได้รับของขวัญอันล้ำค่าจากการปราบปรามสิทธิในเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นและข้อมูล” ฟรีแมนกล่าว 

ตอนนี้ผู้คนตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้นที่จะถูกจับกุม ถูกทรมาน และสำหรับผู้ที่หลบหนีไปยังประเทศไทยและพึ่งพาเงินทุนเพื่อที่พักอาศัย พวกเขาก็เสี่ยงที่จะถูกส่งกลับเมียนมา สหรัฐฯ ต้องสื่อสารอย่างเร่งด่วนและตรงไปตรงมาว่ากลุ่มที่ทำงานช่วยชีวิตในเมียนมาสามารถดำเนินการทำงานของตนต่อไปได้” 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ: 
[email protected] 
[email protected]